ติดโลก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์พระ วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะมันมีอยู่แล้ว ทำไมต้องทำ ทำไมต้องฟัง ในเมื่อเราก็มีธรรม เราก็รู้จักอยู่ธรรมะนี้ เด็กก็อ่านหนังสือได้ พระไตรปิฎกก็มีอยู่ ใครก็ค้นคว้าได้ ทำไมต้องฟังธรรม ฟังตัวเองก็ได้ เข้าใจตัวเองก็ได้ สิ่งที่เราเข้าใจได้อยู่แล้วทำไมจะต้องให้คนอื่นมาสอนด้วย
แต่ถ้าตัวเองสอน ตัวเองเข้าใจตัวเองนี่ ถ้าความเข้าใจของตัวเอง ความเข้าใจของเรา ในเมื่อทุกคนก็ยอมรับอยู่ว่าเรามีกิเลสอยู่ การมีกิเลสอยู่นี้มันเป็นความเห็นของเราทั้งนั้น มันไม่ใช่สัจธรรมหรอก
สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ เวลาแบงก์ที่ทางรัฐบาลเขาพิมพ์มานี่เราใช้จ่ายได้ เราก็พิมพ์ได้ เราก็พิมพ์ของเราเอง ถ้าเราพิมพ์ของเราเอง เวลาใช้จ่ายไป ถ้าไม่มีใครรู้ ไม่มีใครตรวจสอบได้มันก็แบงก์เหมือนกันนั่นแหละ แต่ถ้าวันไหนเจ้าหน้าที่เขาตรวจสอบได้ว่า สิ่งนั้นได้พิมพ์แบงก์ขึ้นมาด้วยความทุจริต ติดคุก ! นี่พูดถึงเหตุผลทางกฎหมายนะ
แต่ถ้าเหตุผลของวัฏฏะล่ะ เหตุผลของบุญของกรรมล่ะ ถ้าเหตุผลของบุญของกรรม เราก็เข้าข้างตัวเราเองทั้งนั้นล่ะ ความว่าเข้าข้างตัวเองเห็นไหม เพราะมันตัดสินกันด้วยกรรม ตัดสินกันด้วยสัจธรรม ถ้าสัจธรรมมันตัดสินเห็นไหม ตัดสินด้วยความเป็นจริง แต่จิตใจเราไม่จริง ถ้าจิตใจเราไม่จริง สิ่งที่เราศึกษามามันก็เป็นเรื่องโลกทั้งนั้นล่ะ
เรื่องของโลก เราเกิดมากับโลกนะ เวลาพูดถึงโลกกับธรรม นี่พูดถึงเหมือนกับการตะแบง สิ่งที่เป็นโลกกับธรรม โลกกับธรรม รู้ถึงคนพูดแล้วเวลาพูดใครก็พูดได้ โลกกับธรรม แล้วพฤติกรรมโลกกับธรรมหรือเปล่า มันก็ทำเหมือนกันนี่ล่ะ อย่างว่าพูดเรื่องโลกๆ นี่ก็พูดอยู่ อย่างนี้เป็นโลกหรือเปล่า.. โลกสิ ออกมาจากปาก เพราะปากมนุษย์นี่ ธาตุ ๔ มันเป็นเรื่องของโลก
แล้วธรรมะมันอยู่ไหน ? ธรรมะมันเป็นสิ่งที่สัมผัสด้วยความรู้สึก ถ้ามันสัมผัสด้วยความรู้สึก ความรู้สึกนั้นมันมีความจริงขึ้นมา มันก็สื่อออกมาจากปากนี่ ปากคือธาตุ ๔ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ไม่ใช่ธรรม
แต่เวลาธรรมะ สัจธรรม มันสื่อออกมาจากอะไรล่ะ มันก็สื่อออกมาจากธาตุ ๔ นี่แหละ มันสื่อออกมาจากปากนี่แหละ แต่ปากที่ออกมาคือธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิตอยู่แล้ว
ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ไม่ใช่ธรรม แต่ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันเป็นเครื่องอาศัย มันเป็นที่อยู่ของจิต เพราะว่าจิตปฏิสนธิในไข่ ในน้ำคร่ำ ในครรภ์ ในโอปปาติกะ เห็นไหม การกำเนิด ๔ จิตมันกำเนิด พอจิตกำเนิดจิตกำเนิดด้วยกรรม
สิ่งที่เป็นกรรม นี่วัฏฏะ ผลของวัฏฏะคือโลก ถ้าสิ่งที่เป็นโลก เราศึกษาแล้วเป็นโลกขึ้นมาแล้วเรามาศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเองโดยชอบ นั้นล่ะคือธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพยายามสั่งสอนเรา รื้อสัตว์ขนสัตว์ไง
คำว่ารื้อสัตว์ขนสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเล็งญาณนะ เล็งญาณด้วยธรรมธาตุในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เล็งญาณเข้าไปในใจของสัตว์โลกที่มีอุปนิสัย มีอำนาจวาสนาแต่อายุขัยจะสิ้นไป นี่รีบไปเอาคนนั้นก่อน คำว่าเอาคนนั้นก่อน นี่รื้อสัตว์ขนสัตว์อย่างนั้น
แต่ธรรมวินัยนี้มันเป็นสัจธรรม ธรรมวินัยนี้มันเป็นทฤษฎี มันเป็นสิ่งที่เป็นนิยามของธรรม นิยามของธรรม ! กฎหมายต้องมีนิยามว่ากฎหมายบัญญัติเพื่ออะไร ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นธรรม แต่นิยามขึ้นมาเพื่อชี้เข้ามาที่หัวใจนั้น แต่เราไปศึกษานิยามนั้น แล้วว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม โดยที่ว่าศึกษาโดยโลก ที่จิตใจเราเป็นโลก เพราะเรากำเนิด ๔ กำเนิดในวัฏฏะ
กำเนิดในวัฏฏะน่ะ กำเนิดมาโดยกรรม เวลาเราเกิดมานี่เราเป็นมนุษย์ออกมาประพฤติปฏิบัติ ออกมาประพฤติปฏิบัตินี่ สิ่งนี้ปฏิบัติโดยโลกๆ ไง ถ้าเราตื่นไปกับโลก ดูสิ ในเมื่อเราเกิดมาเป็นโลก แล้วโลกก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย สิ่งที่ตายไปนี่มันสะเทือนใจเราไหมล่ะ
เรื่องโลกนะ เวลาคนอื่นตาย เรายังมีความสะเทือนใจ ถ้าญาติพี่น้องเราตาย ถ้าเราตาย เจ็บไข้ได้ป่วยมันก็สะเทือนหัวใจแล้ว คิดถึงความตายขึ้นมานี่เศร้าหมองแล้ว สิ่งที่ยังไม่ทันตายแล้วคิดถึงความตายมันก็สะเทือนหัวใจแล้ว
แต่ถ้าเราไปตื่นเต้นกับมัน แม้แต่ว่าคนอื่นเขาเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราก็ไปตื่นเต้นกับโลก แต่เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาเราก็ไปตื่นเต้นกับโลก มันไม่เป็นธรรมเลย มันไม่เป็นธรรมเลย
มรณานุสติ.. เวลาเรากำหนดถึงความตาย ความตาย ถ้าจิตใจมันหดเข้ามา จิตใจมันหดเข้ามา..หดจากอารมณ์ความรู้สึก หดจากสัญญาอารมณ์ ถ้ามันหดจากสัญญาอารมณ์มันจะหดเข้ามาสู่ตัวมัน ถ้าหดเข้าสู่ตัวมัน แล้วตัวมันสัมมาทิฏฐิ สัมมาสมาธิ
สัมมาสมาธิถ้ามันย้อนกลับเข้ามา การค้นคว้า การดูแลรักษาของมันเห็นไหม ถ้าจิตใจมันดูแลรักษาเข้ามาเห็นไหม จากโลก ! จากโลกมันถึงจะเข้าสู่ธรรมไง
ธรรมะมันมาจากไหนล่ะ ? ดอกบัวเกิดจากโคลนตม เราเกิดมาจากโลก โลกชัดๆ ! สมมุติบัญญัติชัดๆ ! ในเมื่อเราเกิดมามันเป็นโลก เกิดมาโดยกรรมนี่ล่ะ แต่มันเป็นอริยทรัพย์ มันเป็นมนุษย์สมบัติ เพราะเกิดมามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ นี่เป็นสัญญาอารมณ์นะ
ธาตุ ๔ คือร่างกาย ขันธ์ ๕ คืออาการของใจ ขันธ์ ๕ คืออาการของใจมันเกิดจากใจ ตัวใจที่ไปเกิด เกิดเป็นเทวดาก็มีขันธ์ ๔ เกิดเป็นพรหมก็มีขันธ์ ๑ เกิดเป็นมนุษย์นี้ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕
ขันธ์ ๕ มันไม่ใช่จิต ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ความรู้สึก เพราะธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันแปรสภาพตลอดเวลา แต่จิตมันไม่เคยตายไง ตัวที่จิตมันไม่เคยตายนี่มันอยู่ไหน ตัวจิตที่ไม่เคยตายนี่มันอยู่ไหน ! ตัวนั้นจะเข้าสู่ธรรม ถ้าตัวนั้นยังเข้าสู่ธรรมไม่ได้ จิตไม่เคยตายแต่เวียนไปในวัฏฏะ เวียนเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉาน นรกอเวจี
แต่การเกิดเป็นมนุษย์กับใจอันนั้นมันแตกต่างกัน มันคนละอันกัน แต่มันอาศัยกัน มันอยู่ด้วยกัน อาศัยอยู่ด้วยกันด้วยอะไร เพราะเป็นเวรเป็นกรรมไง
นี่กรรมเป็นอจินไตยนะ คำว่าเป็นอจินไตยนี่การสร้างขนาดไหนมันถึงเป็นอจินไตย เพราะมันคาดการณ์ไม่ได้ว่ามันมาจากไหน คาดการณ์ไม่ได้เพราะบุพเพนิวาสานุสติญาณ ไม่มีต้นไม่มีปลาย เวรกรรมมันสร้างมาซับซ้อนมาจนไม่มีต้นไม่มีปลาย ที่ทำมาน่ะ
สิ่งที่ทำมามันต้องให้ผลแน่นอน นี้การให้ผลของมัน เพราะการให้ผลของมันถึงเกิดในวัฏฏะ เคยทำคุณงามความดีมา เทวดา อินทร์ พรหมมากที่ไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม นี่เป็นเพราะเหตุใดมา เราได้ทรัพย์สมบัตินี้มา เพราะเราได้ทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเคยฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเคยเห็นฉัพพรรณรังสีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นี่ไง สิ่งที่เกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม นี่เขาได้แต่ใดมา เขาได้สถานะนั้นมา เขาได้มาอย่างใด ถึงได้สถานะนั้น เพราะเขามีการกระทำอันนั้น
จิตของมนุษย์ที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราเกิดเป็นมนุษย์นี้ เราทำแต่ใดมา เราทำบุญกุศลสิ่งใดมาถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าสิ่งนี้เกิดเป็นมนุษย์เห็นไหม นี่ที่กรรมให้ผล ที่กรรมให้ผล นี่ไง ในเมื่อมีการกระทำมา มีเวรมีกรรมมา มันจะต้องมีวาระของมัน วาระที่กรรมมันให้ผล ไปเกิดในสถานะไหน กรรมที่ให้ผลเห็นไหม มันถึงมาเกิดเป็นมนุษย์นี่ไง สิ่งที่มาเกิดมันถึงไม่ใช่จิตไง แต่ตัวจิตมันเคยสร้าง ตัวจิตมันเคยทำ ตัวจิตนี้เป็นผลของวัฏฏะทั้งนั้น นี่เรื่องโลกๆ หมดเลย ตื่นโลก
เวลาบุพเพนิวาสานุสติญาณ เวลาตื่นโลกคือย้อนอดีตชาติไป คนรู้อดีตชาติ รู้อภิญญา ๖ นี่โลกๆ ทั้งนั้น มันเป็นเรื่องของโลก ไม่ใช่เรื่องของธรรมเลย เรื่องของธรรมคือมันเข้าสู่อริยสัจ เข้าสู่ความจริง ถ้าเข้าสู่ความจริงมันเข้าอย่างไร เห็นไหม
เราตื่นโลกนะ ดูสิ เรามีความเสียใจ มีความกระเทือนหัวใจต่อกัน ในเมื่อมันมีความแปรปรวนไป สิ่งที่โลกนี้มันแปรปรวนไป นี่โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ โลกนี้ไม่เคยเต็ม วิทยาศาสตร์จะเจริญขนาดไหน ดูสิ ดูสิ่งปลูกสร้างต่างๆ สิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่โตมาก ค่าบำรุงรักษาต่อปีนี้เท่าไหร่ เราไปเห็นแต่สิ่งที่สำเร็จแล้ว สิ่งที่สำเร็จเป็นรูปร่างขึ้นมา เราว่าสวยงามมากๆ ค่าบำรุงรักษา ค่าดูแลนั่นล่ะ นี่มันดูแลเท่าไหร่ นี่ถึงว่าเรื่องโลกไง
เรื่องโลกมันเป็นอนิจจัง มันไม่มีสิ่งใดคงที่หรอก โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ สิ่งที่มีอยู่นี่มีอยู่ด้วยการบำรุงรักษา ด้วยความดูแล เห็นไหม ดูสิ ภูเขาเลากาขนาดไหน ดูสิ ขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ น้ำแข็งมันยังละลายเลย อุณหภูมิมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สิ่งนี้มันเปลี่ยนแปลงมันเป็นไป
แล้วนี่เราสร้างวัตถุขึ้นมา แล้วเราพยายามจะดูแลมันว่าสิ่งนั้นเจริญ สิ่งนี้เจริญ มันเจริญก็เจริญอยู่บนความเสื่อม เพราะมันเสื่อมในตัวเราเองไง นี่เรื่องโลก โลกพร่องอยู่เป็นนิจนะ เราตื่นโลก เพราะเราตื่นโลก เราไปยึดโลกเห็นไหม ยึดว่าสิ่งนั้นต้องสมความปรารถนา สิ่งนั้นต้องเป็นผลประโยชน์ของเรา
ศึกษาธรรมก็เหมือนกัน ศึกษาธรรมด้วยความโง่ ศึกษาโดยเถรตรง ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น มันเป็นจริงหรือเปล่าล่ะ ความเป็นจริงมันจริงอย่างไร มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร สติมันก็มีแต่ชื่อ สมาธิไม่ต้องพูดถึงเลย เวลาปัญญานี่สัญญาทั้งนั้น ว่าปัญญาๆ น่ะ ก็จำพระพุทธเจ้ามามันจะเป็นปัญญาได้อย่างไร
ในเมื่อมันจำมา แล้วพอจำมาแล้วคลาดเคลื่อนไม่ได้ พอออกจากนอกขอบเขตนี้ไปก็ถือว่าผิดพุทธพจน์ พูดถึงพุทธพจน์ นี่สิ่งที่จำมา มันจำมาไม่ได้แม้แต่ ดูสิ ดูเอกสารเห็นไหม เวลาเขาถ่ายโอนกัน เขายังต้องเซ็นมอบให้ต่อกัน นี่เอกสารเขายังต้องเซ็นมอบให้ต่อกันเลย เอกสารจะไปยึดของเขามาว่า เอกสารของคนนี้จะเป็นของเรา เป็นไปไม่ได้ ! เป็นไปไม่ได้ ! เขายังต้องมอบฉันทะ มอบอำนาจต่อกันเพื่อให้ไปทำเอกสารนั้น นี่เอกสารนะ เอกสารที่เป็นสิ่งที่โลกเขาคิดขึ้นมา เพื่อให้เป็นต้นขั้วบัญชีที่ควบคุมวัตถุต่างๆ
แต่ความเป็นจริงในวัฏฏะล่ะ ความจริงในวัฏฏะนะ เรื่องโลก ถ้าเราไปตื่นกับมัน เราตื่นกับโลก เราจะเข้าสู่ธรรมะไม่ได้ เราไม่ตื่นโลก เราก็เป็นโลก ไม่ตื่นโลกแล้วทิ้งมันไปใช่ไหม ไม่ตื่นโลกก็ไปอยู่ดาวอังคารสิ ไม่ตื่นโลกเราก็ไปอยู่พระจันทร์ซะ โลกทิ้งไว้นี่ โลกไม่ใช่ธรรม ดาวอังคารจะเป็นธรรม ดวงจันทร์จะเป็นธรรม มันก็ไม่ใช่
นี่มันอยู่ด้วยกันเห็นไหม ดีและชั่วมันอยู่ด้วยกัน ทำดีความชั่วก็ไม่มี ทำชั่วความดีก็หายไป นี่กลางๆ อัพยากฤต สิ่งนี้แล้วเราจะทำอย่างไรให้มันเกิดขึ้นมากับเรา
นี่เรื่องโลก เรานี่ติดโลก เราถึงเข้าสู่ธรรมะไม่ได้ เราติดทุกอย่าง เราติดเพราะวิทยาศาสตร์นี้เป็นเรื่องโลก ถ้าวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องโลก มันจำเพาะเจาะจงต้องเป็นอย่างนั้น แต่ถ้ามันเป็นธรรมไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ดูต้นไม้สิ ต้นไม้เวลามันเจริญเติบโตขึ้นมา เวลาปลูกขึ้นมา จากเมล็ด จากกล้าไม้ มันเติบโตขึ้นมา วงรอบของปีมันโตขึ้นขนาดไหน มันมีวงรอบของปีของมัน มันมีวงจรของมัน มันยังหมุนของมันไป
แล้วการกระทำของเราล่ะ ความรู้สึกของเราล่ะ ถ้าเราจะมีการกระทำนี่ เราจะไม่มีความรู้สึกรับรู้อะไรเลยเหรอ หัวใจของเรานี่เราไม่รับรู้อะไรเลยเหรอ ถ้ารับรู้อยู่นี้รับรู้เรื่องโลกๆ เห็นไหม แล้วยึดมัน ยึดสิ่งที่เป็นโลก ยึดให้มันเป็นตามความเป็นจริงของเรา เราไปตื่นกับมันนะ ยิ่งกระแสสังคมเห็นไหม กระแสสังคมเขาเป็นไป
กระแสสังคมมันเป็นผลของวัฏฏะ คนเกิดมา คนทำคุณงามความดีมา ดูสิ เราเห็นไหม ดูอย่างชนกลุ่มน้อยต่างๆ ที่เขาเกิดในแต่ละพื้นที่ เขาเกิดมาอย่างไร ทำไมเขาไปเกิดที่นั้น ทำไมเรามาเกิดที่นี่ เกิดในประเทศอันสมควรเห็นไหม กำเนิด ๔
พอกำเนิด ๔ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดในประเทศอันสมควร สมควรความพอดีของมันไง แล้วสมควรที่ไหน ความสมควรของภูมิประเทศ ความสมควรของที่เกิด ที่เกิดคือพ่อแม่ไง ถ้าพ่อแม่เป็นผู้เลี้ยงดูมา พ่อแม่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมานะ พ่อแม่จะสร้างนิสัย จะควบคุม จะฝึกอบรมให้เราเข้าสู่สัจธรรม เข้าสู่สัจธรรมนะ
เพราะเรื่องโลกต้องอาศัยอยู่ แต่อาศัยเกิดในวัฏฏะ อาศัยเกิดในเวรในกรรม แต่ถ้าเรามีจริตนิสัยนะ เราจะเข้าสู่ธรรม ถ้าเข้าสู่ธรรมเพราะอะไร เพราะมีที่มาที่ไปไง ถ้าเราจะเข้าสู่ธรรมเข้าอย่างไร แต่เราเกิดมาในพุทธศาสนาเห็นไหม พุทธศาสนาสอนให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ทุกข์มันเกิดที่ไหน ทุกข์มันเกิดที่ไหน นี่ที่สุดแห่งทุกข์ เราไม่รู้ว่าทุกข์มันเกิดที่ไหน แล้วมันจะสิ้นสุดได้อย่างไร
ถ้าเรายังไม่รู้ที่มาที่ไป มันจะสิ้นสุดได้อย่างไร ดูสิ เราจะเดินทางเห็นไหม เราต้องรู้ต้นกำเนิดว่าเราอยู่ที่ไหน แล้วเราจะไปที่ไหน แล้วไปถึงเป้าหมายหรือเปล่า ไอ้นี่มันเป็นอากาศไปหมดเลย นี่ที่สุดแห่งทุกข์จะเป็นอวกาศ จะเป็นความว่าง แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ มันอยู่ที่ไหน ก็มันเป็นความว่างไง นี่ไง นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่โลก !
โลกเพราะอะไร โลกเพราะอวิชชา ในเมื่อตัวเองไม่รู้ ในเมื่อจิตมันไม่รู้ สิ่งที่มันได้มาถึงจะเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็พูดด้วยความไม่รู้ไง พูดธรรมะด้วยความไม่รู้ แต่ถ้าเป็นความรู้ เวลาครูบาอาจารย์ที่แสดงธรรม เห็นไหม เวลาท่านพูดถึงมรรคผล ท่านจะพูดออกมา ท่านพูดแล้ว ท่านบอกแล้ว แต่คนฟังไม่เป็น พอคนฟังไม่เป็น ไม่เข้าใจ พอไม่เข้าใจ มันก็ออกเหมือนกัน
ถ้าเหมือนกัน ครูบาอาจารย์ท่านรู้ว่าวุฒิภาวะไม่ถึง ท่านหยุดเลย เพราะพูดไปแล้วสีซอไง แม้แต่สีซอให้ควายฟัง ควายบางตัวมันยังรู้ภาษานะ มันรู้ภาษาว่าเจ้าของมันต้องการสิ่งใด เจ้าของมันต้องการอะไร เจ้าของมันควรสั่งให้ทำการสิ่งใด ควายมันยังทำได้เลย ! ไอ้นี่มนุษย์แท้ๆ ฟังธรรมะแล้วเหมือนสีซอ เพราะครูบาอาจารย์ท่านรู้ว่าสีซอน่ะ ท่านไม่สีหรอก นี่วุฒิภาวะของใจ
ถ้าใจของครูบาอาจารย์ท่านรู้ของท่านนะ นี่ธรรมมันอยู่ที่ไหน ธรรมมันอยู่ที่ไหน ธรรมมันออกมาจากการแสดงธรรมนั้นแล้ว แต่ถ้าผู้ที่ปฏิบัติเห็นไหม เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการ เวลาพระปฏิบัติอยู่มีมหาศาลเลย คนคิดไปว่าเป็นปุถุชน ปุถุชนนะควบคุมใจของตัวเองไม่ได้ ทำความสงบของใจไม่ได้ แต่ถ้าใครควบคุมใจของตัวเองได้ ต้องมีสติปัญญา มีคำบริกรรมขึ้นมา มันจะเป็นกัลยาณปุถุชน ปุถุชนและกัลยาณปุถุชนแตกต่างกันได้ด้วยการควบคุมจิต
ถ้าปุถุชนควบคุมจิตไม่ได้ มีแต่จิตควบคุมเรา มีแต่กิเลสควบคุมเรา มันจะคิดไปตามอำนาจของกิเลส กิเลสมันจะยุแหย่ตะแคงรั่วอย่างไร มันคิดอย่างไร มันก็คิดไปตามประสากิเลส แล้วเข้าใจว่านั้นเป็นธรรม เป็นธรรมเพราะอะไร เป็นธรรมเพราะเป็นความคิดของเรา คิดแล้วสบายใจ คิดแล้วความคิดมันครบรอบของมัน มันคิดแล้วมันสะดวกสบายของมัน ก็คิดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้เขาเรียกว่าคิดว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม
แต่ถ้าผู้ที่เป็นกัลยาณปุถุชน จะมีสติปัญญา จะยับยั้งความคิด เพราะความคิดคือการส่งออก ถ้าไม่มีจิตความคิดเกิดจากไหน อารมณ์ความรู้สึกเกิดจากไหน อารมณ์ความรู้สึก สัญญาอารมณ์เป็นอาหารของใจ ใจมันกินอาหาร กินอารมณ์อันนั้น
ถ้าใจมันกินอารมณ์อันนั้น แสดงว่าใจมันเคลื่อนออกมากิน ใจมันเคลื่อนออกมามันถึงกินอารมณ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ ในเมื่อจิตมันมีความคิด จิตมันคิดเรื่องธรรมะ จิตมันไปรู้เรื่องธรรมะ นี่สังขารปรุงแต่ง ถ้ามันคิดเรื่องธรรมะ คิดขนาดไหน มันส่งออก มันส่งออกมาที่คิด คิดเรื่องอะไร คิดเรื่องธรรมะ ถ้าคิดเรื่องธรรมะ มันจะเข้ามาถึงตัวมันได้ไหม นี่ไงปุถุชน
แต่ถ้ากัลยาณปุถุชน เขากำหนดพุทโธ พุทโธ ความคิดนั้น.. เขาเปลี่ยนจากความคิดนั้นมาเป็นพุทโธ ความคิดนั้นมันคิดตามสัญญาอารมณ์ แต่เราคิดเราตรึกในธรรม ใช้พุทธานุสติ พุทโธ พุทโธ พุทโธ เห็นไหม ก็เป็นความคิดเหมือนกัน แต่ความคิดอันหนึ่งคิดตรึกธรรมะของพระพุทธเจ้า อู้ฮู เพริศแพร้วนะ คิดจินตนาการไปนะ นี่บรรลุธรรม ตรัสรู้ธรรม ไปตกนรกจกเปรต มันยังว่ามันบรรลุธรรมอยู่นะ
แต่ถ้าพุทโธ พุทโธ พุทโธ อยู่นี่ มันเป็นข้อเท็จจริง พุทโธนี่พุทธานุสติ จิตมันกำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ หรือปัญญาอบรมสมาธิ มันก็เป็นความคิดเหมือนกัน สัญญาอารมณ์ไม่ใช่จิต ความคิดไม่ใช่จิต แต่มันเกิดจากจิต แต่พุทโธ พุทโธ นี่มันก็เป็นความคิดเหมือนกัน
แต่มีสติปัญญา พุทโธ พุทโธ พุทโธ เพราะความคิดมันสะสม ความคิดมันอยู่ตัวของมัน ความคิดมันไม่ส่งออก ความคิดไม่ได้ส่งที่ความคิดที่เป็นสัญญาอารมณ์ สัญญาอารมณ์มันคิดสิ่งใดมันมีอารมณ์ร่วม มีอารมณ์ดี อารมณ์ชั่ว อารมณ์สุข อารมณ์ทุกข์ นี่ปุถุชน
แต่กัลยาณปุถุชนน่ะ ถ้าปัญญาอบรมสมาธิสติมันทันความคิด ความคิดนี่คิดแล้วคิดเล่า คิดแล้วมีความสุข ความทุกข์เห็นไหม ความสุขก็พอใจ ความทุกข์ก็ไม่พอใจ ติดเรื่องธรรมะ ธรรมะที่พอใจก็ธรรมะของเรา ถ้าธรรมะที่ไม่พอใจก็ธรรมะของเทวทัต เพราะเราไม่พอใจ เราให้ค่าทั้งนั้นเลย
แต่ถ้ามีสติปัญญามันทัน มันบอกว่า เอ็งคิดเรื่องอะไร คิดถึงว่ามันเป็นบุญกุศลหรือมันเป็นบาปอกุศล คิดแล้วมันเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษเห็นไหม มันก็หดตัวเข้ามาๆ ถ้าหดตัวเข้ามาเห็นไหม นี่กัลยาณปุถุชน
ปุถุชนคือคนควบคุมใจของตนเองไม่ได้ กัลยาณปุถุชนควบคุมจิตได้ พอควบคุมจิตได้ จิตมันเข้าสมาธิได้ง่าย รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เป็นบ่วงคือรัดคอจิตไว้ เป็นพวงดอกไม้ก็ล่อไง.. ล่อให้คิด ล่อให้ใช้ความคิดไง มันล่อให้ออกไปไง นั่นเป็นเรื่องกิเลสทั้งนั้น
เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการเห็นไหม ในเมื่อหมู่สงฆ์อยู่ด้วยกัน ปฏิบัติด้วยกัน จากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน จากกัลยาณปุถุชนถ้ายกขึ้นโสดาปัตติมรรค พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม สติปัฏฐาน ๔ เกิดที่นี่ ถ้าเกิดที่นี่เห็นไหม เรื่องโลกๆ ไหม ... โลกทั้งนั้นเลย
แต่โลกนี้ โลกเพื่อจะพ้นจากโลก เพราะมันเป็นเรื่องโลก มันเป็นเรื่องสมมุติบัญญัติทั้งนั้นล่ะ แต่สมมุติบัญญัติด้วยสติปัญญา กับสมมุติบัญญัติด้วยความเพ้อเจ้อ ! ปกติศึกษาด้วยความเพ้อเจ้อ ศึกษาด้วยความเห็นของตัว ตัวเองก็คิดว่าตัวเองถูกหมดล่ะ เพราะคิดเห็นไหม ดูเด็กสิ เด็กเวลาปล่อยให้เล่นตามสบายของเด็ก เด็กมันจะมีความสบายใจของมัน ถ้าเด็กเราจะให้ศึกษา ให้เป็นหน้าที่การงาน เด็กจะอึดอัดขัดข้องมาก
จิต ! จิตถ้าปล่อยไปตามความคิดของเขา เขาจะคิดของเขาไปตามธรรมชาติของเขา สิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม อะไรก็เป็นธรรมไปหมดเพราะความพอใจ ถ้าคิดตามความสะดวก ตามความพอใจของตัว ได้แสดงออกตามลวดลายของจิต จิตแสดงออกลวดลายเต็มที่ อันนั้นเป็นธรรม แต่ถ้ามีสติปัญญาควบคุม ผิดแล้ว !
สติปัญญาควบคุม อันนั้นไม่ดีสักอย่าง ไม่มีอะไรดีสักอย่างเลย เพราะบังคับตัวเรา ไม่มีอะไรดีสักอย่างเลย แต่ที่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง มันจะเป็นดี แต่ที่ปล่อยตามใจตัวเองนั้น ที่ว่าเป็นความดีนั้นจะเป็นความชั่ว ! ปล่อยตามความคิด ปล่อยตามความเห็นของตัวทั้งนั้นล่ะ อันนี้เป็นธรรม เป็นธรรมหมดล่ะ เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราไม่รู้อะไรเลย เราอยู่กับความรู้สึกนึกคิด เราอยู่กับความเพ้อเจ้อ
แต่ถ้าเป็นธรรม เราอยู่กับความบังคับ เราอยู่กับสติปัญญา สิ่งนั้นจะตั้งตัวขึ้นมา จิตมันสงบขึ้นมามันจะมีกำลังของมัน มันจะมีความสุขของมัน ถ้ามีความสุขขึ้นมาใช่ไหม ออกรู้ ออกพิจารณา นี่เราไม่ติดในโลกนะ ตื่นโลก อยู่กับโลก ..
อยู่กับโลกก็อยู่กับสัญญาอารมณ์ทั้งหมดล่ะ เวลาพูดออกมาก็ห้ามพูดเรื่องโลกๆ นะ ให้พูดธรรมะ แต่พูดธรรมะ ถ้าจิตใจมันไม่เป็นธรรม พูดธรรมะก็เป็นโลก ถ้าจิตใจผู้มีธรรม พูดโลกก็เป็นธรรม เพราะเอาโลกมาเทียบเคียงให้เห็นธรรม
เห็นธรรมคืออะไร คือเรามีความดีความชั่ว เรารู้จักดีจักชั่ว แล้วรู้จักคุณประโยชน์และไม่เป็นคุณประโยชน์ แล้วเราเลือกเอา สิ่งนี้เลือกเอา แล้วแยกแยะเอา แยกแยะเอาเพราะอะไร เพราะเราเกิดกับโลก ดอกบัวเกิดกับโคลนตม ! สัจธรรม ความรับความรู้สึกจะเกิดจากใจ
ถ้าใจมันเกิดมานี่มันคลุกเคล้ากับอวิชชา คลุกเคล้ากับอนุสัย มันนอนเนื่องมากับใจ แต่เราไม่เคยยับยั้ง ไม่เคยแยกแยะ ดูสิ วัตถุที่เขาเอามาทำอุตสาหกรรม ทำสิ่งต่างๆ แม้แต่อาหารการกิน เขายังเลือกเลย เลือกว่าสิ่งใดมีคุณหรือมีโทษ
ถ้าสิ่งใดที่มีโทษ เห็นไหมอาหารรู้จักเลือกนะ อันนี้ไม่ดี แล้วจะเลือกแต่สิ่งที่ดีๆ แต่ความรู้สึก ความนึกคิดนี่เลือกไม่เป็น เลือกไม่ได้ เพราะยิ่งเลือกขึ้นมาก็ถือว่าเป็นความลำบากขัดข้อง แต่ถ้ามันกินแต่อวิชชา กินแต่ขี้ ! ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง หลง ! หลงแล้วกินเข้าไป กินเข้าไปก็ว่าสิ่งนั้นเป็นความดีๆ เพราะมันชอบ มันหลงน่ะ มันดีของมันเห็นไหม แต่ถ้ามีสติไปยับยั้งนี่มันจะเป็นสัจธรรม
เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จืดสนิทเย็นดี เหมือนกับน้ำฝน น้ำฝนจืดสนิท มีรสชาติที่เป็นความบริสุทธิ์ ไม่มีรสชาติอื่นแอบแฝงเลย ชอบไหม ? ไม่ชอบ
แต่ถ้ามีรสชาติที่เราพอใจ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง.. ชอบ ถ้าสิ่งนั้นชอบมันก็เป็นตามแต่จริตนิสัยไป อันนี้มันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยากนะ ดูเรื่องโลกสิ โลกแม้แต่การเกิด การตาย นี้ก็เป็นเรื่องโลก ความแปรสภาพไปก็เป็นโลก
เราเกิดมานี่ บวชมานี่ ๑ พรรษา ๒ พรรษา ๓ พรรษา ก็เป็นโลกนะ โลกมันแปรปรวนไง เห็นไหม ๑ ๒ ๓ ๔ มันเพิ่มขึ้นมานี่ มันแก่แล้วนะ แก่โดยรอบของมัน แต่แก่วงรอบด้วยมรรคญาณ ถ้าด้วยเกิดมรรคไง แก่ด้วยตบะธรรม ถ้าเป็นตบะธรรม ยิ่งแก่ยิ่งดี
ดูสิ มะพร้าวยิ่งแก่ยิ่งมัน ยิ่งแก่ยิ่งเป็นประโยชน์ สิ่งที่เราศึกษา การประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เราจะต้องแก่ เราแก่โดยวงรอบ แก่ด้วยวิชา แก่ด้วยสติปัญญา ถ้าแก่ด้วยสติปัญญานะ เราเองน่ะ เราเข้ามาเห็นไหม เรามีการเปลี่ยนแปลงไหม เด็ก ! มันเปลี่ยนแปลงมาเป็นผู้ใหญ่นะ แล้วมันเปลี่ยนแปลงไปจนชราคร่ำคร่า แล้วมันจะตายไป
จิตของเราบวชเข้ามานี่ ๑ พรรษา ๒ พรรษา ๓ พรรษา มันมีวุฒิภาวะขึ้นมาไหม มันแก่วงรอบขึ้นมาบ้างหรือเปล่า เราแยกแยะได้ถูกต้องบ้างไหมว่า อะไรควร และอะไรไม่ควร สิ่งที่อะไรควรและอะไรไม่ควรนี่เราควรจะแยกแยะได้ สิ่งที่ควรและไม่ควรนี่มันเป็นเรื่องโลก ๆ นะ
โลกๆ นี่เรายังแยกไม่ถูกเลยว่า อะไรถูกต้อง อะไรไม่ถูกต้อง แล้วเราจะมีสติปัญญายับยั้งหัวใจเราได้อย่างไร หัวใจของเรานี่มันเป็นโลกชัดๆ เลยล่ะ แล้วหัวใจของเรานะ ใจของคน อารมณ์ความรู้สึกของคน เปรียบเหมือนช้างสารที่ตกมัน เวลาเราคิด ความคิดเวลามันยุแหย่เรานี่ คิดขึ้นมาแล้วเราควบคุมไม่ได้เลย จิตใจนี่มันฟาดงวงฟาดงาในหัวใจของเรา มันทำลายเรานะ มันวิ่งเต้นเผ่นกระโดดนะ มันจะเอาตามแต่ใจของมัน มันเดือดร้อน มันฟาดงวงฟาดงาในใจของเรา เราไม่รู้เลย เรากลับชอบใจ เรากลับว่าชอบ สิ่งนี้คิดถูก คิดดี เป็นประโยชน์
แต่เวลาเรายับยั้งมันเห็นไหม ยับยั้งไว้ ช้างสารที่มันตกมัน เอามันผูกไว้กับต้นไม้ ด้วยโซ่ ด้วยหวาย ต่างๆ ผูกยึดมันไว้กับต้นไม้ พุทโธ พุทโธ ด้วยสติ ผูกยึดมันไว้กับต้นไม้ ช้างสารนั้นมันเดือดร้อนมาก มันดิ้นรนมาก แล้วสติเราล่ะ ปัญญาของเราล่ะ มันดิ้นรนมากขนาดไหน มันเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษล่ะ
ถ้ามันเป็นประโยชน์ เราจะทำหรือไม่ทำ ถ้ามันเป็นโทษมันก็เป็นสิ่งไม่ดี ถ้ามันเป็นประโยชน์กับเราเห็นไหม นี่ช้างสารที่ตกมันนะ มันวิ่งไล่ทำร้ายเขานะ มันเอางาเอางวงมาทำร้ายคนอื่น มันทิ่มแทงเขาไป มันต้องไปตายข้างหน้าแน่นอน เจ้าหน้าที่รัฐจะไม่ปล่อยไว้ให้ช้างสารนี้ไปทำลายทุกๆ คนหรอก เจ้าหน้าที่ต้องกำจัดมัน เพราะเอามันไว้แล้วมันทำลายคนอื่น
หัวใจของเราเหมือนช้างสารที่ตกมัน ความคิด ความปรุง ความแต่ง มันอยู่ในใจของเรา เราไม่รู้หรอก ว่าความคิด ความปรุง ความแต่งนี่ มันเที่ยวทำลายใครบ้าง ถ้ามันจะทำลายใครมันก็ต้องทำลายตัวมันเอง มันทำลายตัวมันเองเพราะอะไร เพราะเดี๋ยวเขาจะฆ่ามัน มันทำลายคนอื่น ช้างสารไปทำลายคนอื่น เจ้าหน้าที่เขาจะไว้มันไหม เขาไม่ไว้เด็ดขาด เพราะมันทำลายคนอื่น นี่เป็นรูปธรรม
แต่ความคิดของเรามันเป็นนามธรรม พอเป็นนามธรรม มันเที่ยวทำร้ายคนอื่นมันเป็นมโนกรรม สิ่งที่มันเป็นมโนกรรม ทำร้ายใคร ทำร้ายเขา ใครเขาไม่รับรู้ด้วย มันก็เท่ากับทำร้ายตัวเอง พอมันทำร้ายตัวเอง กรรมมันเกิดขึ้นมา นี่มันเป็นกรรมก็ไม่รู้ตัวว่าเป็นกรรม
แต่ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมานี่ สิ่งนี้มันชัดเจนว่ามันเป็นกรรม และไม่เป็นกรรม ถ้าเป็นกรรมเราจะแก้ไข เราจะดูแล เราจะรักษา เพราะ ! เพราะเรามาแก้ไข เพราะเรามีอำนาจวาสนา เพราะเราเกิดมาเป็นชาวพุทธ พบพระพุทธศาสนา ออกบวชเป็นพระสงฆ์
ออกบวชเห็นไหม ภิกษุเห็นภัยในวัฏสงสาร เราจะพ้นจากวัฏฏะ แล้วมันสกปรกที่นี่ ที่นี่เป็นจุดกำเนิดของวัฏฏะ ถ้าเราไม่ทำลายจุดกำเนิดของวัฏฏะ เราจะไปทำลายกันที่ไหน ในเมื่อจุดกำเนิดของวัฏฏะ ปฏิสนธิวิญญาณ วิญญาณปฏิสนธิ วิญญาณตัวเกิดในกำเนิด ๔ เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เกิดในมนุษย์ เกิดในนรกอเวจี จุดกำเนิดมันอยู่ที่นี่
ถ้าเราจะทำลายทำความสะอาด เราไม่ทำลายที่จุดกำเนิด จุดเกิดของมันแล้วเราจะไปทำลายที่ไหน ถ้าเราจะทำลายที่นี่เห็นไหม นี่เป็นธรรมหรือยังนี่ นี่ก็ยังเป็นโลกอยู่นะ โลกเพราะอะไร ? เพราะสัมมาสมาธิก็คือโลก จิตก็คือโลก โลกคือผลของวัฏฏะ เทวดา อินทร์ พรหม เกิดมาจากไหน เทวดา อินทร์ พรหม ก็เป็นจิต มันมีของมัน มันเป็นโลกทั้งนั้นล่ะ ผลของวัฏฏะเป็นโลกทั้งนั้น
แต่ถ้าจะเป็นธรรม ต่อเมื่อมันเข้ามาวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาจะเข้าสู่วิปัสสนามันจะเห็นโทษของมันนะ มันเห็นโทษของการติดในสมาธิ ติดในโลก ถ้าติดสมาธิก็อยู่ในโลก ถ้าติดสมาธินี่มันมีความสุขของมันก็เข้าใจว่า ว่างๆ ว่างๆ เป็นนิพพาน ว่างๆ เป็นนิพพาน
ว่างๆ เดี๋ยวมันก็ไม่ว่าง ว่างขนาดไหนมันก็แปรปรวน มันเป็นอนิจจังทั้งหมด ไม่มีอะไรคงที่ทั้งหมด สิ่งนี้เป็นโลกทั้งนั้น ถ้ามันเป็นโลกเห็นไหม เป็นโลกแต่มีสติปัญญา ถ้ามีสติปัญญา ออกพิจารณา ถ้าออกพิจารณาในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ถ้าพิจารณากายเห็นไหม นี่เส้นทางออกสู่วัฏฏะ เห็นไหม วัฏฏะ วิวัฏฏะ มันจะออกมาสู่วัฏฏะเห็นไหม นี่เราจะออกจากโลก
เราตื่นโลกนะ เราภาวนาไปนะ ถ้าไม่ภาวนาเราก็ตื่นกับแสง สี เสียง จากโลกจากภายนอก เขาเคารพศรัทธา เขาติฉินนินทานี่ นี่ตื่นกับโลก นี่โลกธรรม ๘.. โลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่ มันมีของมันอยู่แล้ว สรรเสริญก็ติด นินทาก็ติด ทุกอย่างติดข้องไปหมดเลย
แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเห็นไหม เราจะพ้นจากโลก เราอยู่กับโลก ต้องหาโลกให้เจอ หาจุดกำเนิดให้เจอ หาตัวเองให้เจอ แล้วเอาตัวนั้นแยกแยะใคร่ครวญ พิจารณาผลของการเกิดและการตาย ถ้าผลของการเกิดและการตาย ความคิดหนึ่งก็ชาติหนึ่ง ความคิดหนึ่งก็ภพหนึ่ง ความรู้สึกอันหนึ่งก็เป็นภพหนึ่ง พิจารณามัน แก้ไขมัน แก้ไขของเราจนเป็นประโยชน์กับเรานะ
สิ่งนี้เป็นงานของเรานะ งานของโลกเขาอาบเหงื่อต่างน้ำ เพื่อหาปัจจัยเครื่องอาศัย เกิดมาเพื่อความมั่นคงของชีวิต ทำมาหากินกันเพื่อความมั่นคงของชาติตระกูล เวลาผู้รับมรดกตกทอดจากพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายมา ก็พยายามจะรักษาสิ่งนั้นไว้เพื่อไม่ให้ย่อยสลายไปในชีวิตของเรา เพื่อส่งต่อให้กับชาติตระกูลจากลูกจากหลานไป นี้เขารักษากันด้วยสมบัติของโลก
เราเป็นพระ สมบัติของพระคือศีลธรรม ศีลคือความปกติของใจ ธรรมะคือจิตใจมันได้วิจัย สัมโพชฌงค์ วิจัยธรรม วิจัยสัจธรรม เรารื้อค้น สมบัติของเราอยู่ที่นี่ สมบัติของพระเราคือศีลธรรม ถ้ามีศีลมีธรรมขึ้นมา มันเข้าใจได้หมดเลย
ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นถูกต้องดีงามทั้งนั้น แต่เพราะหัวใจสกปรก เพราะหัวใจความรู้เห็นของใจไปตะแบง ตีความเอาตามความพอใจ ความชอบใจของตัวเท่านั้น แต่ถ้าเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาแล้ว วิเคราะห์ วิจัย ทดสอบว่ามันจริงหรือไม่จริง ในปัจจุบันนี้ทำได้หรือไม่ได้
ทางโลกเขาบอกว่า สิ่งที่ ๒,๐๐๐ กว่าปีนี้มันล้าสมัย ในปัจจุบันนี้โลกเจริญ เราจะต้องพัฒนาให้ทันโลก เวลามันทุกข์นะ คนสมัยพุทธกาลก็ทุกข์ คนสมัยปัจจุบันก็ทุกข์ คนสมัยอนาคตก็ทุกข์ สิ่งที่ว่าทุกข์นี้ ทุกข์คือสัจธรรม อริยสัจ.. ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ถ้ารู้จักทุกข์ ทุกข์มาจากสมุทัย สมุทัยคืออยากและไม่อยาก หรือยันมันไว้ สิ่งนี้ถ้าเรามีปัญญาใคร่ครวญ แล้วปัญญามันเกิดได้อย่างไร
ปัญญามันเกิดได้ต่อเมื่อมีสติ แล้วมีสมาธิถึงจะเกิดปัญญา ถ้าไม่มีสติ ไม่มีสมาธิเป็นสัญญา สิ่งที่เป็นสัญญา สิ่งที่ใคร่ครวญอยู่นี่โดยสัญญาอารมณ์ทั้งนั้น ถ้าโดยสัญญาอารมณ์ทั้งนั้นเหมือนกับเทคโนโลยี เราเลียนแบบ เราก็อบปี้เขามา เราทำสินค้าด้วยการลอกเลียนแบบทั้งนั้น แต่การลอกเลียนแบบของโลกเขานี่ ลอกเลียนแบบจนเขาชำนาญ จนเขาคิดเป็นทำเป็น เขาจะพัฒนาไปได้
ไอ้นี่เราศึกษามานี่ มันก็เหมือนลอกเลียนแบบ แต่ถ้าเราลอกเลียนแบบด้วยเราจะพัฒนา ไม่ใช่ลอกเลียนแบบมาทำแบบสินค้าที่เขาหาผลประโยชน์ใส่ตัว ลอกเลียนแบบมาเพื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น สิ่งที่มันยังภาวนาไม่เป็นนี่มันก็พยายามใช้สัญญาพิจารณาขึ้นมา
แล้วถ้ามันเป็นขึ้นมาเห็นไหม สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญามันจะเกิดขึ้นมาเห็นไหม จากโลก ตื่นโลก อยู่กับโลก จะพ้นจากโลกด้วยวุฒิภาวะ ด้วยสติปัญญา ด้วยการใคร่ครวญของเรา เพื่อประโยชน์กับชีวิตของเราเองนะ
เราเป็นนักบวช เราเป็นพระ เราศึกษามานี่ วันคืนล่วงไปๆ นี่เรื่องโลก ดูสิ ในหมู่คณะเรา พระสมบัติก็ตายไปแล้ว เขาตายไปแล้วนี่ไม่ใช่ด้วยความดีใจนะ เขาตายเพราะหมดอายุขัยของเขา เขาสร้างคุณงามความดีของเขา
กิริยาของกาย ภาษากายนี่ปิดบังกันไม่ได้ ภาษาคำพูด ภาษาต่างๆ ปิดได้หมด ภาษากายมันแสดงออก ภาษากายของเขานิ่ง เขาอยู่ประจำที่เห็นไหม อยู่มากี่ปี ภาษากายของเขาแสดงออกถึงหัวใจเขานี่มีหลักเกณฑ์ของเขา แล้วเขาก็พยายามประพฤติปฏิบัติของเขา ถึงที่สุดของเขา มันสะเทือนเราไหมล่ะ
เราเป็นหมู่คณะกันนะ ต้นไม้ต้นหนึ่ง ใบไม้หนึ่งได้หลุดจากขั้วไปแล้ว แล้วใบไม้ที่ยังอยู่ในต้นนี่ เราพยายามจะบำรุงรักษาไหม ถ้าบำรุงรักษาเห็นไหม เราจะไม่ตื่นโลก แล้วเราจะพ้นจากโลกด้วยการประพฤติปฏิบัติของเรา เอวัง